วิวัฒนาการ ในความหมายที่ไป หมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งในลักษณะของการค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขึ้นโดยอาศัยระยะเวลาอันยาวนาน วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ละน้อยจากสิ่งมีมีชีวิตแบบดั้งเดิมสืบต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมสืบต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในปัจจุบันที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมอันเป็นผลมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
ดอบซานสกี(Dobzhansky) นักพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการชาวรัสเซียได้กล่าวไว้ดังนี้
”วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตคือ
กระบวนการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบชองพันธุกรรมของประชากรที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน
โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดอันเป็นผลมาจากปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม
กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีการย้อนกลับเป็นอย่างเดิมอีก”
- หลักฐานเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ถ้าสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการจริง
หลักฐานต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตในอดีตและในปัจจุบันย่อมแตกต่างกัน ดังนั้น
หลักฐานในอดีตและปัจจุบันจึงบอกลักษณะของการวิวัฒนาการได้
- หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต
หลักฐานดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตหรือหลักหลักฐานทางธรณีวิทยา(geological evidence)เป็นหลักฐานซากสัตว์ในชั้นหอนต่างๆ ซึ่งเรียกว่า ซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล
(fossil) วิชาที่ศึกษาซากเหลือเหล่านี้เรียกว่า
บรรพชีวินวิทยา (palaeontology)
- หลักฐานความคล้ายคลึงของโครงสร้าง
หลักฐานความคล้ายคลึงของโครงสร้างหรือหลักฐานทางสัณฐานวิทยา(morphologicalevidence)หลักฐานทางสัณฐานวิทยาใช้โครงสร้างของสัตว์หรือส่วนต่างๆของพืชมาเปรียบเทียบกัน
พบว่าสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างพื้นฐานเป็นแบบเดียวกัน มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมมากกว่าพวกที่มีพื้นฐานโครงสร้างแตกต่างๆกัน
โครงสร้างของอวัยวะสัตว์ที่มีจุดกำเนิดเป็นแบบเดียวกัน
แม้ว่าลักษณะหน้าที่หรือรูปร่างจะแตกต่างๆกันไปก็ตาม เราเรียกว่า ฮอมอโลกัส
ออร์แกน (homologous
organ)เช่น แขนคน ปีกนก ปีกค้างคาว ขาหน้าของม้า วัวควาย
จากการเปรียบเทียบทางกายภาคศาสตร์(comparative anatomy)พบว่าอวัยวะเหล่านี้ในระยะแรกเริ่มจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันในระยะช่วงหลังของการเจริญเติบโตเท่านั้นส่วนอวัยวะที่ทำหน้าที่เหมือนกันแต่
มีต้นกำเนดิ หรือจุดกำเนิดที่แตกต่างกันกันเรียกว่า แอนาโลกัส ออร์แกน(analogous
organ)เช่น ปีกของนกและปีกของแมลง ซึ่งทำหน้าที่บินเหมือนกัน
แต่ต้นกำเนิดต่างกันมาก
- หลักฐานจากการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอ
หลักฐานจากการเจริญโตของเอ็มบริโอ
หรือหลักฐานจากคัพภะวิทยา(embryological evidence) หมายถึง
หลักฐานที่ได้จากการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะการเจริญของตัวอ่อน พบว่าในระยะแรกๆ
ของเอ็มบริโอ(embryo=ตัวอ่อน) ของสัตว์มีกระดูกหลังต่างๆเช่น
ปลาดุก ซาลามานเดอร์ กิ้งก่า นก หมู มนุษย์จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก
แต่เมื่อเจริญเติบโตมากขึ้น ลักษณะต่างๆ
จึงเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างนั้นๆ มัลเลอร์
และเฮคเคล (Mulle and Haeckel)ได้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นเรียกว่า principle
of recapitulation มีใจความสำคัญคือ การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตนั้นจะย้อนลักษณะการเจริญของบรรพบุรุษที่มีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ(ontogeny
is an abbreviated)ซึ่งเป็นหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนวิวัฒนาการได้เป็นอย่างดี
- หลักฐานการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์
หลักฐานการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์หรือหลักฐานจากการเลี้ยง
(domestical evidence)มนุษย์ได้มีการปรับปรุงพันธุ์พืชสัตว์ให้แตกต่างไปจากพวกเดินมาก
เช่น สุนัขเริ่มแรกเป็นสัตว์ป่า เมื่อมนุษย์นำมาเลี้ยง
และผสมพันธุ์ขึ้นทำให้ในปัจจุบันมีพันธุ์สุนัขจำมากมาย นกพิราบ
ก็เช่นกันแต่เดิมเป็นนกพิราบป่าเมื่อมนุษย์นำมาผสมพันธุ์ทำให้ได้นกพิราบบ้านหลายพันธุ์
ในพืชก็มี เช่น กล้วยไม้ป่า
เมื่อมนุษย์นำมาปลูกและคัดเลือกพันธุ์ขึ้นทำให้ได้พันธุ์กลัวยไม้ที่ดี
และนิยมเลี้ยงกินแพร่หลายเช่นในปัจจุบัน
- หลักฐานการแพร่กระจายของพืชและสัตว์
หลักฐานการแพร่กระจายของพืชและสัตว์ หรือหลักฐานทางภูศาสตร์ชีวภาพ(biogeographically evidence)จากการศึกษาลักษณะของพืชและสัตว์จากส่วนต่างๆของโลกพบว่าสิ่งมีชีวิตกระจายไปในที่ต่างๆได้อย่างกว้างขวาง
แต่บางชนิดก็อยู่เฉพาะแห่งเท่านั้น เช่นในแอฟริกากลางมีช้าง กอริลลา ชิมแพนซี
สิงโตและแอนติโลป ในขณะที่ทางบราซิล
ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศเหมือนๆกันแต่ไม่มีสัตว์เหล่านี้
อาจเป็นเพราะอยู่ห่างไกลกันมากจึงแพร่กระจายไปไม่ถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีสัตว์และพืชบางชนิดที่แตกต่างไปจากส่วนอื่นๆของโลก
ต้นสนสองใบและสนสามใบเจริญงอกงามได้ดีในเขตอบอุ่นแต่ไม่พบในเขตร้อน ยกเว้นบนยอดเขาสูงๆเหนือระดับน้ำทะเลหลายพันเมตร
เช่น ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียยงใหม่และที่ภูหลวง ภูกระดึง จังหวัดเลย
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน
เมื่ออาศัยอยู่ในที่ที่ต่างกันเมื่อนานๆ เข้าก็ทำให้มีลักษณะแตกต่างกันไปได้
เช่นอูฐในทวีปแอฟริกาและเอเชียกับลามาของทวีปอเมริกาใต้
เดิมทีเดียวเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันและอยู่ในทวิปอเมริกาเหนือด้วยกันแต่ต่อมาได้กระจักกระจายกันไปและเมื่อนานเข้าทำให้เกิดการแปรผันไปตามลักษณะภูมิประเทศซึ่งสัตว์ชนิดนั้นอาศัยอยู่จึงทำให้อูฐและลามาแตกต่างกันออกไป
ซึ่งก็เป็นหลักฐานที่สอดคล้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่เชื่อถือกัน
- หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล
หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล(molecular biological evidence)จากการศึกษาส่วนประกอบของโพรโทรพลาซึมของเซลล์เกือบทุกชนิด
พบว่ามีประกอบสารเคมีต่างๆ คล้ายคลึงกันสารโปรตีน เช่น โปรตีนฮอร์โมน แอนติบอดี (antibody)ไฟบิรโนเจน(fibrinogen)ของสัตว์ที่คล้ายคลึงกันและเป็นพวกเดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกันมากกว่าที่อยู่ห่างกันหรือต่างสายพันธุ์กัน
โปรตีนต่างๆเหล่านี้ถูกควบคุมการสร้างโดย DNA ดังนั้นเมื่อโปรตีนคล้ายคลึงกัน
DNA
ก็จะคล้ายคลึงกันมากในทางตรงกันข้ามถ้าโปรตีนมีลักษณะแตกต่างกันมากก็แสดงว่า DNA
ที่ควบคุมการสร้างแตกต่างกันมากด้วย
จาการศึกษากรดอะมิโนซึ่งเป็นส่วนประกอบของไซโทโครม
ซี (cytochrome c)ซึ่งมีกรดอะมิโน104
ตัว ไซโทโครม ซีเป็นสารสำคัญที่ทำหน้าที่รับส่งอิเล็กตรอนในระบบถ่ายทอด อิเล็กตรอน (ETS)ของระบบหายใจพบว่าสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะมีกรดอะมิโนเหมือนกันสิ่งมีชีวิตที่มีสายพันธุ์หรือเชื่อสายที่ใกล้เคียงกันกรดอะมิโนส่วนใหญ่ในไซโทโครม
ซี จะเหมือนกันและเมื่อสายพันธุ์ยิ่งห่างกันมากกรดอะมิโนในไซโทโครม ซี
ก็ยิ่งแตกกันมากตามไปด้วย
ความก้าวหน้าของทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับ
DNA ในปจจุบันทำให้สามารถหาลำดับนิวคลีโอไทด์ของ DNA
ได้และมักพบว่าสัตว์ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันตามสายวิวัฒนาการมีลำดับเบสในนิวคลีโอไทด์ของ
DNA คล้ายคลึงกันมากกว่าพวกที่อยู่ห่างกัน